ตกขาว
ตกขาว หมายถึง สารคัดหลั่งที่ถูกขับออกมาทางช่องคลอด มีหน้าที่ช่วยในการหล่อลื่น ป้องกันการติดเชื้อ และระคายเคือง ซึ่งลักษณะ สี และปริมาณของตกขาว จะแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคลและแต่ละช่วงของรอบเดือน โดยทั่วไปอาจมีลักษณะดังนี้
- วันที่ 1-5 ของรอบเดือน: เป็นช่วงที่มีเลือดประจำเดือน
- วันที่ 6-14 ของรอบเดือน: ส่วนมากจะมีตกขาวน้อยกว่าช่วงปกติ ตกขาวมีลักษณะขุ่น มีสีขาวหรือเหลือง และอาจมีลักษณะเหนียวได้
- วันที่ 14-25 ของรอบเดือน: ในช่วงก่อนวันตกไข่ ตกขาวอาจมีลักษณะเป็นเมือกลื่น ๆ แต่หลังจากมีการตกไข่ ตกขาวจะกลับมามีลักษณะขุ่น มีสีขาวหรือเหลือง อีกครั้ง
- วันที่ 25-28 ของรอบเดือน: ก่อนมีประจำเดือน จะเป็นช่วงที่ตกขาวมีปริมาณน้อยลงมากจนจางหายไป
สีของตกขาว
- เฉดสีแดง: เลือดในช่วงที่มีประจำเดือน โดยทั่วไปจะประมาณ 3-5 วัน แต่หากมีเลือดออกในช่วงอื่นนอกเหนือจากช่วงที่มีประจำเดือน ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจหาสาเหตุต่อไป
- เฉดสีขาว: ตั้งแต่สีขาวจนถึงสีเหลืองอ่อน ลักษณะเช่นนี้จะถือเป็นตกขาวปกติที่พบได้ทั่วไป แต่หากมีอาการผิดปกติ เช่น มีกลิ่น คัน หรือตกขาวมีลักษณะขาวเหนียวร่วมกับมีอาการอื่น ลักษณะนี้แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติที่อาจเกิดจากการติดเชื้อราได้
- เฉดสีเหลืองเขียว: ลักษณะสีเหลืองเข้ม เหลืองเขียว จนถึงเขียว เป็นเฉดสีที่แสดงให้เห็นถึงความผิดปกติที่อาจเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียหรือเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ โดยเฉพาะในผู้ที่มีตกขาวเหนียวเป็นก้อนหรือมีกลิ่มร่วมด้วย
- เฉดสีใส: ตกขาวปกติจะมีลักษณะเช่นนี้ คือ ใสหรือค่อนข้างขาว ลื่น
- เฉดสีเทา: ตกขาวสีเทาเป็นลักษณะเด่นของการติดเชื้อแบคทีเรียในช่องคลอด โดยอาจมีอาการแสดงอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น มีกลิ่น คัน ระคายเคือง หรือมีอาการแดงบริเวณรอบ ๆ ช่องคลอด
อาการตกขาวผิดปกติที่ต้องไปพบแพทย์
- ตกขาวมีฟองคล้ายแป้งเปียก
- เลือดออกกะปริดกะปรอยช่วงไม่มีประจำเดือน
- ตกขาวมีกลิ่นรุนแรง
- เจ็บ คัน แสบร้อน บริเวณช่องคลอดหรืออวัยวะเพศ
- สีตกขาวเริ่มออกเขียวหรือน้ำตาล
สาเหตุที่ตกขาวผิดปกติ
- เชื้อราจากการใส่ชุดชั้นในที่อับชื้น
- เลือดออกจากโพรงมดลูกหรือปากมดลูกผิดปกติ
- มีแผลติดเชื้อบริเวณช่องคลอด
- ติดเชื้อทางเพศสัมพันธ์ เช่น หนองใน
- ตั้งครรภ์
วิธีป้องกันตกขาวผิดปกติ
- รักษาความสะอาดบริเวณช่องคลอดและอวัยวะเพศอย่างสม่ำเสมอ
- ล้างช่องคลอดด้วยน้ำสบู่อ่อน ๆ ไม่ให้เกิดอาการอักเสบหรือระคายเคือง
- ไม่ปล่อยให้บริเวณช่องคลอดอับชื้น
- หลีกเลี่ยงการสวนล้างช่องคลอด
- สวมชุดชั้นในที่สะอาด ระบายอากาศได้ดี ไม่อึดอัด
- ใช้ถุงยางอนามัยทุกครั้งเมื่อมีเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อในช่องคลอด
การติดเชื้อราในช่องคลอด (Vulvovaginal Candidiasis) ส่วนใหญ่เกิดจากการติดเชื้อ Candida albicans แต่บางรายอาจเกิดจากเชื้อราชนิดอื่นได้ปัจจัยที่อาจส่งผลให้เกิดการติดเชื้อราในช่องคลอด ได้แก่ โรคเบาหวาน การใช้ยาปฎิชีวนะเป็นเวลานาน การมีระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนสูงขึ้นหรือได้รับฮอร์โมนเอสโตรเจนจากภายนอก (เช่น การใช้ยาคุมกำเนิด ภาวะตั้งครรภ์) ภาวะภูมิคุ้มกันต่ำ (เช่น การติดเชื้อเอชไอวี การได้รับยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน)
อาการ ตกขาวมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก มักมีอาการคันบริเวณปากช่องคลอด หรือมีอาการแสบร้อนในช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ เมื่อตรวจภายในอาจพบการบวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด
การรักษา ให้ยาฆ่าเชื้อรา ซึ่งมีทั้งรูปแบบยาครีม ยาเหน็บช่องคลอด และยารับประทาน เช่น Clotrimazole, Miconazole, Tioconazole, Fluconazole
การติดเชื้อแบคทีเรีย (BACTERIAL VAGINOSIS) เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ไม่ดีมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนจนมากกว่าเชื้อแบคทีเรียประจำถิ่น ทำให้เกิดการติดเชื้อขึ้นมักสัมพันธ์กับการมีคู่นอนหลายคน การสวนล้างช่องคลอด การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ใช้ถุงยางอนามัย และการขาดแบคทีเรียแลคโตบาซิลลัสในช่องคลอด
อาการ ส่วนมากจะไม่แสดงอาการผิดปกติ บางรายอาจมีอาการตกขาวผิดปกติ เช่น ตกขาวมีสีเทา มีกลิ่นเหม็นเหมือนคาวปลา มีอาการคัน อาจมีปัสสาวะแสบขัดหรือเจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์ร่วมด้วย ส่วนอาการอักเสบในช่องคลอดหรือแสบร้อนบริเวณปากช่องคลอดพบได้น้อย
การรักษา ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole, Clindamycin ควรงดกิจกรรมทางเพศระหว่างการรักษา
การติดเชื้อทริโคโมแนส (TRICHOMONIASIS) เกิดจากเชื้อโปรโตซัว TRICHOMONAS VAGINALIS (TV) ที่มักติดต่อจากการมีเพศสัมพันธ์
อาการ ตกขาวมีสีเขียวเป็นฟองและมีกลิ่นเหม็น ร่วมกับมีอาการแสบร้อนและคันบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด ปัสสาวะแสบขัด เจ็บขณะมีเพศสัมพันธ์หรือเลือดออกหลังมีเพศสัมพันธ์ มีการอับเสบ บวมแดงบริเวณปากช่องคลอดและช่องคลอด มีจุดเลือดออกบริเวณช่องคลอดและปากมดลูกที่มีลักษณะจำเพาะเรียกว่า Strawberry cervix
การรักษา ให้ยาปฏิชีวนะ เช่น Metronidazole, Tinidazole ให้การรักษาคู่นอนร่วมด้วย
โดยทั่วไปการติดเชื้อหรือความไม่สมดุลของฮอร์โมนเพศหญิงอาจมีผลทำให้ตกขาวผิดปกติได้ ซึ่งบางครั้งอาจจำเป็นต้องได้รับการรักษา ดังนั้น ผู้ที่สังเกตเห็นอาการผิดปกติของตกขาวหรืออาการอื่น ๆ ที่อาจบ่งบอกถึงความผิดปกติของระบบสืบพันธุ์ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและทำการรักษาต่อ