15 ธ.ค. 2568

บาดทะยัก

บาดทะยักเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากแบคทีเรีย Clostridium tetani ซึ่งเข้าสู่ร่างกายผ่านทางบาดแผล ทำให้เกิดสารพิษที่ส่งผลต่อระบบประสาท ส่งผลให้กล้ามเนื้อมีอาการตึงและกระตุก โดยเฉพาะที่กรามและคอ จนอาจนำไปสู่อาการรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

สาเหตุของโรคบาดทะยัก

โรคบาดทะยัก เกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่ชื่อว่า คลอสตริเดียม เตตานิ (Clostridium tetani) ซึ่งแพร่กระจายสปอร์ไปตามพื้นดิน หญ้า สิ่งแวดล้อม สิ่งสกปรก ฝุ่นละออง หรืออุจจาระของสัตว์ แบคทีเรียชนิดนี้สามารถมีชีวิตอาศัยอยู่ภายนอกร่างกายได้เป็นเวลานาน และทนต่อสภาพแวดล้อมได้ดี

สำหรับการติดเชื้อบาดทะยักในทารกแรกเกิดมักมาจากความไม่สะอาดของอุปกรณ์ในการทำคลอด เช่น การใช้กรรไกร มีดทำครัว หรือของมีคมบางชนิดอย่างไม้ไผ่ฝานบาง ๆ ตัดสายสะดือทารก การพอกสะดือด้วยยากลางบ้าน หรือการโรยแป้งบริเวณสะดือ

สาเหตุที่ทำให้เกิดบาดทะยัก มีดังนี้

·     แผลจากของมีคม อย่างเช่น เสี้ยน การเจาะตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย หรือการสัก

·     แผลจากการโดนยิง

·     กระดูกหักแผลปิด

·     แผลไฟไหม้

·     แผลจากการผ่าตัด

·     แผลจากการฉีดยาเข้าเส้นเลือด

·     แมลงสัตว์กัดต่อย

·     แผลที่เท้าของผู้ป่วยเบาหวานที่มีการติดเชื้อ

·     การติดเชื้อที่ฟัน

ปัจจัยเสี่ยง

ปัจจัยที่อาจเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดโรคบาดทะยัก มีดังนี้

·     ไม่ได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักหรือได้รับวัคซีนบาดทะยักในจำนวนที่ไม่ครบ 

·     มีบาดแผลทำให้สปอร์ของแบคทีเรียเข้าไปในแผล 

·     มีสิ่งแปลกปลอมเข้าไปในผิวหนังอย่างเช่น ตะปู หรือเสี้ยน

อาการของโรคบาดทะยัก

เมื่อเชื้อบาดทะยักเข้าสู่ร่างกายแล้ว ผู้ป่วยจะเริ่มแสดงอาการตั้งแต่ 3 – 28 วัน หรืออาจจะนานกว่านั้น แต่โดยส่วนใหญ่จะแสดงอาการภายใน 10 – 14 วัน โดยผู้ป่วยที่แสดงอาการอย่างรวดเร็วมักจะมีการติดเชื้อรุนแรงและรักษาให้หายค่อนข้างยากพอสมควร อาการมักจะเริ่มจากบริเวณศีรษะและคอ แล้วลามไปส่วนอื่น ๆ ดังนี้

1.     ขากรรไกรแข็ง

อาการแรกเริ่มของบาดทะยักที่มักปรากฏคือ เริ่มจากรู้สึกตึงๆ ที่กราม เคี้ยวอาหารลำบาก พูดไม่ค่อยถนัด ต่อมาจะอ้าปากได้น้อยลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งอ้าปากไม่ได้เลย หรืออ้าได้เพียงเล็กน้อย ทำให้พูดไม่ชัด กินอาหาร หรือดื่มน้ำลำบากมาก

2.     กล้ามเนื้อคอ และใบหน้าเกร็ง

อาการเกร็งจะลามมาที่กล้ามเนื้อคอ ทำให้คอแข็ง หันซ้ายขวาไม่สะดวก ก้มเงยลำบาก กล้ามเนื้อใบหน้าก็จะเริ่มเกร็ง ทำให้หน้าตาดูบิดเบี้ยว บางครั้งมุมปากอาจถูกดึงรั้งออกไปด้านข้างและคิ้วเลิกขึ้น ทำให้เกิดลักษณะที่เรียกว่า ‘ยิ้มแสยะ’ ซึ่งเป็นการยิ้มที่ดูฝืนและเจ็บปวด

3.     กลืนลำบาก

มีการหดเกร็งของกล้ามเนื้อคอหอย ทำให้กลืนน้ำลายหรืออาหารได้ยากมาก หรืออาจสำลักได้ง่าย

4.     กล้ามเนื้อหลังและท้องแข็งเกร็ง

อาการเกร็งจะลามลงมาที่ลำตัว กล้ามเนื้อหลังจะแข็งเกร็งมาก จนอาจทำให้หลังแอ่นโค้งโดยที่ศีรษะและส้นเท้าอาจงอไปด้านหลัง ส่วนกล้ามเนื้อท้องก็จะแข็งเกร็งเหมือนแผ่นกระดาน

5.     อาการชักเกร็งทั้งตัวอย่างรุนแรง

เป็นระยะอาการโรคบาดทะยักที่น่ากลัวและอันตรายที่สุด ผู้ป่วยจะมีอาการกล้ามเนื้อทั่วร่างกายหดเกร็งอย่างรุนแรงพร้อม ๆ กัน ซึ่งสิ่งเร้าเพียงเล็กน้อย เช่น เสียงดัง, แสงจ้า, การสัมผัสตัว ก็สามารถกระตุ้นให้เกิดอาการชักเกร็งได้ ทำให้มีอาการตัวแข็งเกร็ง เหยียดตรง หรือหลังแอ่นอย่างมาก อาการชักเกร็งนี้จะเจ็บปวดทรมานอย่างยิ่งและผู้ป่วยยังรู้สึกตัวดีตลอดเวลาที่เกร็ง ไม่ได้หมดสติเหมือนการชักแบบอื่น ในรายที่รุนแรง แรงเกร็งอาจมากจนทำให้กระดูกหักหรือกล้ามเนื้อฉีกขาดได้

6.     มีปัญหาการหายใจ

เป็นระยะอาการของโรคที่อันตรายถึงชีวิต เพราะหากเกิดการหดเกร็งของกล้ามเนื้อที่ช่วยในการหายใจ (กะบังลม, กล้ามเนื้อซี่โครง) และกล้ามเนื้อกล่องเสียง จะทำให้ผู้ป่วยหายใจลำบาก หายใจตื้นเร็ว หรืออาจหยุดหายใจได้

นอกจากปัญหาการหายใจล้มเหลวซึ่งเป็นสาเหตุการเสียชีวิตหลักแล้ว ภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ ที่อาจเกิดขึ้น ได้แก่ ปอดอักเสบจากการสำลัก ลิ่มเลือดอุดตันจากการนอนนิ่งๆ  นาน กระดูกหัก กล้ามเนื้อลายสลาย (Rhabdomyolysis) ที่อาจนำไปสู่ไตวาย และปัญหาทางระบบประสาทอัตโนมัติที่จะทำให้ความดันโลหิตแปรปรวน หัวใจเต้นผิดจังหวะได้

ภาวะแทรกซ้อนจากการติดเชื้อบาดทะยัก  

·     กระดูกแตก

หากการกระตุกของกล้ามเนื้อมีความรุนแรงอาจส่งผลให้กระดูกสันหลังหรือกระดูกส่วนอื่น ๆ เกิดการแตกได้ 

·     โรคลิ่มเลือดอุดกั้นในปอด

เลือดที่ไหลมาจากส่วนต่าง ๆ ของร่างกายอาจเกิดการอุดตัน ทำให้เกิดการอุดตันกับหลอดเลือดในปอด

·     การเสียชีวิต

การติดเชื้อขั้นรุนแรงจากอาการกล้ามเนื้อกระตุกทำให้เกิดปัญหาเกี่ยวกับการหายใจ ทำให้ระบบหายใจล้มเหลวซึ่งเป็นสาเหตุหลักของการเสียชีวิตจากโรคบาดทะยัก นอกจากนี้อาจทำให้เกิดการขาดออกซิเจนซึ่งนำไปสู่ภาวะหัวใจหยุดเต้นและเสียชีวิตในที่สุด สาเหตุอีกประการของการเสียชีวิตจากบาดทะยักอีกประการคือ โรคปอดอักเสบ

การดูแลตัวเองเมื่อเกิดบาดแผล

·     เมื่อมีบาดแผลควรรีบล้างแผลทำความสะอาดทันทีด้วยการฟอกสบู่ ล้างน้ำสะอาด

·     ทำความสะอาดแผลด้วยการเช็ดแผลด้วยน้ำเกลือล้างแผล และใส่ยาฆ่าเชื้อ ทำความสะอาดแผลวันละ 1-2 ครั้ง

·     แผลพุพองที่กำลังแห้งจะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อได้ จึงควรใช้ผ้าก็อซปิดแผลไว้จนกว่าจะเริ่มเป็นสะเก็ด พร้อมกับเปลี่ยนผ้าก็อซทุกวัน หรือเมื่อเปียกน้ำและสกปรก

·     ในผู้ป่วยที่หายจากโรคบาดทะยักต้องให้วัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักครบชุด เพราะจะไม่มีภูมิคุ้มกันเกิดขึ้นเพียงพอ

แนวทางการให้วัคซีนบาดทะยักสำหรับเด็ก

วัคซีนป้องกันบาดทะยักมักจะถูกให้ร่วมกับวัคซีน DTaP สำหรับเด็ก วัคซีนนี้จะช่วยป้องกันการเกิดโรค 3 โรค ดังนี้ โรคคอตีบ โรคไอกรน และโรคบาดทะยัก วัคซีนรวม DTaP จำเป็นต้องฉีด 5 เข็ม และจะถูกฉีดวัคซีนเด็กให้เด็กตามอายุต่าง ๆ ตามลำดับดังนี้ 

·     2 เดือน

·     4 เดือน

·     6 เดือน

·     15 ถึง 18 เดือน

·     4 ถึง 6 ปี

การป้องกันโรคบาดทะยัก

วิธีป้องกันโรคบาดทะยักที่ง่ายและได้ผลมากที่สุดคือ การฉีดวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก อีกทั้งควรฉีดกระตุ้นซ้ำเมื่อเกิดบาดแผลสกปรก หากผู้ป่วยไม่มั่นใจว่า ตนเองได้รับวัคซีนโรคบาดทะยักครั้งล่าสุดเมื่อไร นอกจากนี้ทารกควรได้รับวัคซีน DTaP ในการป้องกันทั้งโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน จำนวน 5 ครั้งตามกำหนด

เมื่อเด็กมีอายุ 4–6 ปี ควรได้รับวัคซีนอีกครั้ง และฉีดกระตุ้นซ้ำทุก 10 ปี ส่วนเด็กที่มีอายุ 7 ปีขึ้นไป และผู้ใหญ่ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยักเลย ควรได้รับวัคซีนป้องกันโรคบาดทะยัก คอตีบ และไอกรน ช่วงระยะแรก 3–4 ครั้ง โดยขึ้นอยู่กับอายุแล้วค่อยฉีดกระตุ้นซ้ำทุก 10 ปี


🍪เว็บไซต์นี้มีการจัดเก็บคุกกี้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้งานของท่าน และการมอบบริการที่ดีที่สุดจากเรา
กรุณากดยอมรับ คุณสามารถเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการใช้งานคุกกี้ของเราได้ที่ ข้อตกลงและเงื่อนไข และ นโยบายความเป็นส่วนตัว