สิว คือ การอุดตันของระบบต่อมไขมันในรูขุมขน ซึ่งตามปกติแล้ว ไขมันที่สร้างจากต่อมไขมันจะออกมาตามรูขุมขน หากมีการอุดตันของทางเดินก็จะทําให้เกิดสิวอุดตันขึ้น ซึ่งจะพบเป็นลักษณะตุ่มเม็ดเล็กๆ เป็นไตสีขาวๆ อยู่ข้างใน หากมีตัวกระตุ้นเพิ่มเติม เช่น แบคทีเรีย ก็อาจจะทําให้เกิดการอักเสบได้ และหากสิวอักเสบมากขึ้นแล้ว ก็จะกลายเป็นตุ่มหนอง เป็นสิวหัวช้าง และเป็นซีสต์ได้

ประเภทของสิว

• สิวหัวดำ (Blackheads) เป็นสิวหัวเปิดที่มองเห็นหัวสิว เกิดจากการที่น้ำมันส่วนเกินและเซลล์ที่ตายแล้วไปอุดตันรูขุมขนแล้วทำปฏิกิริยากับออกซิเจนจนทำให้หัวสิวกลายเป็นสีดำ
• สิวหัวขาว (Whiteheads) คือสิวหัวปิดที่เป็นตุ่มนูนสีขาวใต้ผิวหนัง เมื่อลูบแล้วมีลักษณะเป็นไตเล็ก ๆ เกิดจากรูขุมขนเกิดการอุดตันจากน้ำมันและเซลล์ผิวที่ตายแล้ว หากปล่อยทิ้งไว้อาจติดเชื้อมากขึ้นและกลายเป็นสิวอักเสบในที่สุด
• สิวอักเสบ (Papules) เป็นสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มนูนแดงขนาดเล็ก ถ้าแตะโดนจะรู้สึกเจ็บ มักเกิดจากสิวอุดตันหัวขาวที่ถูกเชื้อแบคทีเรียกระตุ้นให้เกิดการอักเสบอย่างรุนแรงใต้ผิวหนัง
• สิวหัวหนอง (Pustules) คือสิวอักเสบที่เป็นตุ่มบวมแดงขนาดใหญ่และมีหนอง เกิดจากการที่รูขุมขนติดเชื้อจนทำให้กลายเป็นตุ่มหนอง หากกดออกไม่ถูกวิธีอาจทำให้เกิดสิวหัวหนองซ้ำ ๆ และอาจกลายเป็นแผลเป็นได้
• สิวเชื้อราหรือสิวยีสต์ (Pityrosporum Folliculitis) คือ การอักเสบของรูขุมขนโดยมีสาเหตุจากเชื้อรา สิวเชื้อรามีลักษณะเป็นตุ่มแดงคล้ายสิวและมีอาการคันร่วมด้วย
• สิวอักเสบขนาดใหญ่ (Nodules) คือสิวที่มีลักษณะเป็นตุ่มแดง เมื่อจับจะเป็นไตอยู่ใต้ผิวหนัง
• สิวซีสต์ (Cysts) หรือสิวหัวช้าง คือสิวที่เป็นก้อนนูนแดง และจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ เป็นก้อนแข็ง ภายในเต็มไปด้วยหนอง สิวหัวช้างเกิดจากการอักเสบรุนแรงในรูขุมขน หากปล่อยทิ้งไว้อาจทำให้เกิดแผลเป็นหรือหลุมสิวขนาดใหญ่ได้

สาเหตุของการเกิดสิว

ยังไม่ทราบสาเหตุของการเกิดสิวอย่างแน่ชัด แต่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงระดับฮอร์โมนในร่างกายจะมีผลต่อการเกิดสิว และยังมีปัจจัยอื่นที่อาจมีผลต่อการเกิดสิว เช่น กรรมพันธุ์ อารมณ์ อาหาร อากาศ ยา โดยรวมแล้วสามารถแบ่งปัจจัยหลักได้เป็น 2 ชนิด ได้แก่

ปัจจัยภายในร่างกาย 

คือ ปัจจัยที่เกิดจากร่างกายเราเอง เช่น ระดับฮอร์โมน การตอบสนองของร่างกายต่อฮอร์โมน กรรมพันธุ์ โรคเรื้อรัง และผิวพรรณ ซึ่งเป็นสิ่งที่ติดตัวเราตั้งแต่กําเนิด

ปัจจัยภายนอก 

คือ ปัจจัยที่เกิดขึ้นจากนอกร่างกายของเรา เช่น ยา ครีม และเครื่องสําอางบางชนิด สภาพแวดล้อม แสงแดดและอุณหภูมิ และอาหาร ซึ่งเราสามารถป้องกันได้ สําหรับฮอร์โมนแล้ว ร่างกายสามารถสร้างฮอร์โมนเพศแอนโดรเจน ซึ่งมีฤทธิ์กระตุ้นต่อมไขมันได้ โดยส่วนมากแล้วฮอร์โมนจะเริ่มสร้างเมื่ออายุ 11-14 ปี จึงมักพบสิวได้มากในวัยนี้และอาจอยู่ได้นานหลายปี ส่วนอาหารโดยทั่วไปไม่มีผลต่อการเกิดสิว แต่มีผลจากงานวิจัยเบื้องต้นว่าอาหารที่หวาน และอาหารจําพวกแป้ง จะทําให้เกิดสิวได้ง่าย นอกจากนี้ปัจจัยด้านอากาศ ก็จะมีผลบ้างขึ้นอยู่กับแต่ละคน บางคนเป็นสิวมากในฤดูหนาว บางคนเป็นสิวมากในหน้าร้อน การใช้เครื่องสําอาง เช่น แป้ง ครีมบางชนิด เป็นปัจจัยที่สําคัญในการเกิดสิว เนื่องจากส่วนผสมในเครื่องสําาอางบางชนิดจะอุดตันรูขุมขนได้ ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจที่สามารถพบสิวได้ในคนที่เลยช่วงวัยรุ่นไปแล้ว การระคายผิวบนใบหน้า เช่น การล้างหน้าที่มีการถูมาก หรือการบีบสิว รวมทั้งการใช้ยาบางชนิดก็ทําให้เกิดสิวเพิ่มขึ้นได้ เช่น ยาคุมกําเนิด ยาเสตียรอยด์

วิธีรักษาสิว

• การรักษาสิวด้วยยาชนิดทา เช่น 
• เรตินอยด์หรือยากลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอ ที่จะช่วยป้องกันการอุดตันของรูขุมขน และช่วยให้รอยดำที่เกิดจากสิวดูจางลง
• ยาเบนโซอิลเพอร์ออกไซด์ (Benzoyl Peroxide) และยาปฏิชีวนะชนิดทา ซึ่งมีคุณสมบัติในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียที่ทำให้เกิดสิว จะช่วยลดอาการอักเสบและลดการเกิดสิว
• กรดซาลิซิลิก ที่ช่วยในการละลายหัวสิวและป้องกันการอุดตันของรูขุมขนกรดอะเซเลอิก ที่ช่วยในการลด

• รักษาโดยใช้ยารับประทาน ได้แก่
• ยาปฏิชีวนะชนิดกิน ซึ่งมีสรรพคุณแบบเดียวกับยาชนิดทา แต่จะออกฤทธิ์แรงกว่าและอาจทำให้เกิดผลข้างเคียงได้
• ยาคุมกำเนิด ปัญหาผิวที่นำไปสู่การเกิดสิวบางครั้งก็มีสาเหตุจากฮอร์โมนในร่างกาย การใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดจะช่วยรักษาสิวที่เกิดจากสาเหตุนี้ได้
• ยาไอโสเตรติโนอิน (Isotretinoin) เป็นยาในกลุ่มอนุพันธ์วิตามินเอชนิดรับประทาน ใช้ได้ผลดีในการรักษาสิวที่มีอาการรุนแรง แต่ยาชนิดนี้อาจมีผลข้างเคียง ส่งผลให้ทารกในครรภ์พิการแต่กำเนิดได้ ผู้หญิงที่ต้องรักษาสิวด้วยยาไอโสเตรติโนอินจำเป็นต้องคุมกำเนิดด้วยวิธีที่มีประสิทธิภาพตลอดการใช้ยาตัวนี้

• รักษาด้วยวิธีอื่น ๆ เช่น การผลัดเซลล์ผิว(Peeling) การใช้เลเซอร์หรือแสงรักษา หรือการทำหัตถการต่างๆ