🔬 COVID-19 คืออะไร?
COVID-19 ย่อมาจาก Coronavirus Disease 2019 เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา สายพันธุ์ใหม่ชื่อว่า SARS-CoV-2 ซึ่งเริ่มระบาดครั้งแรกที่เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน ในช่วงปลายปี 2019
🦠 การแพร่กระจาย
ไวรัสแพร่กระจายได้ผ่าน:
• ละอองฝอย (Droplets) จากการไอหรือจาม
• การสัมผัสพื้นผิวที่ปนเปื้อนแล้วเอามือสัมผัสปาก จมูก หรือตา
• การอยู่ใกล้ผู้ติดเชื้อในที่อากาศถ่ายเทไม่สะดวก
🤒 อาการของ COVID-19
อาการทั่วไป:
• ไข้
• ไอแห้ง
• เหนื่อยล้า
อาการอื่นๆ ที่พบได้:
• เจ็บคอ
• สูญเสียการรับรส/กลิ่น
• หายใจลำบาก
• ปวดกล้ามเนื้อ
• ปวดหัว
• ท้องเสีย
บางรายอาจไม่มีอาการเลย (โดยเฉพาะในเด็กหรือวัยหนุ่มสาว)
🧬 สายพันธุ์ของไวรัส
ตั้งแต่ปี 2020 เป็นต้นมา ไวรัสได้กลายพันธุ์หลายครั้ง เช่น:
• Alpha (อังกฤษ)
• Beta (แอฟริกาใต้)
• Delta (อินเดีย) – มีการแพร่เชื้อรุนแรง
• Omicron (แอฟริกาใต้) – แพร่เร็ว แต่อาการมักไม่รุนแรง
ปัจจุบัน (2024-2025) สายพันธุ์ย่อยของ Omicron ยังเป็นสายพันธุ์หลักที่พบอยู่ทั่วโลก
💉 วัคซีนป้องกัน
มีวัคซีนหลายชนิดที่ได้รับการรับรอง เช่น:
• Pfizer–BioNTech (mRNA)
• Moderna (mRNA)
• AstraZeneca (viral vector)
• Sinovac/Sinopharm (inactivated)
• Novavax (protein subunit)
🛡️ การป้องกันตัวเอง
• สวมหน้ากากอนามัยเมื่ออยู่ในที่แออัด
• ล้างมือบ่อยๆ ด้วยสบู่หรือแอลกอฮอล์เจล
• หลีกเลี่ยงการสัมผัสใบหน้า
• เว้นระยะห่างจากผู้อื่น
• รับวัคซีนครบตามแผนที่แนะนำ
🧪 การตรวจหาเชื้อ
• ATK (Antigen Test Kit) – ตรวจเร็ว ได้ผลใน 15-30 นาที
• RT-PCR – ความแม่นยำสูง ใช้เวลานานกว่า
📉 สถานการณ์ปัจจุบัน (2024-2025)
• หลายประเทศเริ่ม “อยู่ร่วมกับ COVID-19” โดยผ่อนคลายมาตรการ
• วัคซีนและภูมิคุ้มกันหมู่ช่วยลดความรุนแรงของโรค
• ผู้ติดเชื้อส่วนใหญ่อาการไม่รุนแรง แต่ยังควรระวัง โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัว
เมื่อคุณติดเชื้อ COVID-19 (โดยเฉพาะหากอาการไม่รุนแรงและรักษาตัวที่บ้านได้) การดูแลตัวเองอย่างถูกต้องจะช่วยให้ฟื้นตัวเร็วขึ้นและลดความเสี่ยงในการแพร่เชื้อให้ผู้อื่น
🏠 การดูแลตัวเองเมื่อเป็น COVID-19 ที่บ้าน
1. 🛏️ แยกตัวจากผู้อื่น
• แยกห้องนอน/ห้องน้ำ หากเป็นไปได้
• หลีกเลี่ยงการใกล้ชิดกับคนในบ้าน โดยเฉพาะกลุ่มเสี่ยง (ผู้สูงอายุ, ผู้มีโรคเรื้อรัง)
• สวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ต้องออกจากห้องหรือพูดคุยกับผู้อื่น
2. 💧 พักผ่อนและดื่มน้ำมากๆ
• พักผ่อนให้เพียงพอ เพื่อให้ร่างกายต่อสู้กับไวรัส
• ดื่มน้ำมากๆ เพื่อป้องกันภาวะขาดน้ำ
• รับประทานอาหารที่ย่อยง่าย และมีประโยชน์ เช่น ผัก ผลไม้ โปรตีน
3. 🌡️ ติดตามอาการทุกวัน
วัดอุณหภูมิและออกซิเจนปลายนิ้ว (ถ้ามีเครื่องวัด SpO₂) วันละ 2 ครั้ง
ควรสังเกตอาการที่อาจแย่ลง เช่น:
• ไข้สูงตลอดเวลา (เกิน 38.5°C)
• ไอมาก หอบเหนื่อย
• หายใจเร็ว หรือเจ็บหน้าอก
• ค่าออกซิเจนในเลือดต่ำกว่า 94%
• ซึมลง พูดไม่รู้เรื่อง
หากพบอาการเหล่านี้ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที
4. 💊 ใช้ยาตามอาการ
• พาราเซตามอล: ถ้ามีไข้ ปวดหัว ปวดตัว
• ยาลดน้ำมูก/ไอละลายเสมหะ: ถ้ามีอาการ
• ยาฟ้าทะลายโจร หรือ ยาต้านไวรัส: ให้ใช้ตามคำแนะนำของแพทย์เท่านั้น
• ไม่ควรซื้อยาต้านไวรัสกินเอง โดยไม่ได้รับการวินิจฉัย
5. 📞 แจ้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง (ถ้ามี)
• อาจมีการลงทะเบียนผู้ป่วยในแอปฯ หรือโทรสายด่วนของแต่ละพื้นที่เพื่อรับคำแนะนำ
• บางเขตมีบริการส่งอาหารหรือยาให้ถึงบ้าน
⏳ ระยะเวลาการกักตัว
• ปกติจะอยู่ที่ 5–10 วัน แล้วแต่อาการและแนวทางของแต่ละประเทศ/สาธารณสุข
• หลังจากหายแล้ว ยังอาจมีอาการ “Long COVID” เช่น เหนื่อยง่าย ไอเรื้อรัง ควรพักฟื้นและปรึกษาแพทย์หากไม่ดีขึ้น