1. มันฝรั่ง
มันฝรั่ง เป็นพืชที่ต้องนำมาผ่านความร้อน และปรุงสุกก่อนรับประทานเท่านั้น ไม่ควรนำมากินแบบดิบเด็ดขาด เพราะในหัวมันฝรั่งดิบจะมีสารโซลานีน (Solanine) ซึ่งมีอยู่มากในส่วนหน่อที่งอกออกมากจากหัว และสารพิษไกลโคแอลคาลอยด์ (Glycoalkaloids) ซึ่งเป็นสารที่พืชสร้างมาเพื่อปกป้องตัวเองจากแมลงศัตรูพืช อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ใจสั่น ใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว และสุดท้ายอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้ การนำมันฝรั่งไปทำให้สุกด้วยความร้อนจัด 170 องศาเซลเซียส จะช่วยลดปริมาณสารพิษเหล่านั้นลงได้
2. มันสำปะหลัง
ในมันสำปะหลัง มีสารไซยาไนด์ (Cyanide) ซึ่งเป็นสารที่เป็นพิษต่อร่างกายอยู่ในปริมาณสูง เมื่อรับประทานมันสำปะหลังแบบดิบส่งผลให้เกิดอันตราย จะทำให้เกิดอาการแน่นหน้าอก น้ำลายฟูมปาก ชัก และอาจถึงเสียชีวิตได้ วิธีการลดพิษมันสำปะหลังคือ ควรปอกเปลือก และปรุงให้สุกด้วยความร้อนก่อนทุกครั้ง
3. มันเทศ
มันเทศ หรือมันหวานสีต่าง ๆ มีปริมาณสารไซยาไนด์ (Cyanide) อยู่ ถึงแม่ปริมาณจะไม่มากเท่ามันสำปะหลัง และในหัวมันเทศมีสารออกซาเลต (Oxalates) ซึ่งเป็นสารที่มีฤทธิ์ในการยับยั้งการดูดซึมของแคลเซียม และแร่ธาตุสำคัญหลายชนิด และอาจเพิ่มความเสี่ยงเกิดนิ่วในไตได้ ก่อนนำมันเทศมาปรุงอาหาร ควรล้างทำความสะอาดเพื่อกำจัดสารพิษ หรือสิ่งตกค้างก่อนนำไปปรุงอาหาร
4. หน่อไม้
หน่อไม้ดิบมีสารไซยาไนด์ (Cyanide) อยู่ในปริมาณมาก ซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ถ้าได้รับสารนี้เข้าไปในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอันตรายถึงขั้นเสียชีวิต ก่อนนำหน่อไม้มารับประทาน ควรนำไปต้มในน้ำเดือด โดยใช้เวลานานเกิน 10 นาทีก่อน จึงจะปลอดภัยต่อร่างกายมากที่สุด เพราะความร้อนจะช่วยสลายสารพิษลง
5. แครอท
การกินแครอทดิบจะทำให้การดูดซึมสารเบต้าแคโรทีนได้น้อยลง จึงควรนำมาปรุงให้สุกก่อนรับประทาน เพื่อให้ได้รับประโยชน์มากกว่า และแครอทเป็นพืชที่มีประโยชน์สูงแต่หากรับประทานในปริมาณมากเกินไปอาจทำให้ผิวมีสีเหลืองขึ้น ฟันเสื่อม หรือฟันผุ
6. ผักโขม
กรดในผักโขมจะขัดขวางการดูดซึมของแคลเซียม และธาตุเหล็ก ทำให้ร่างกายไม่สามารถดูดซับแคลเซียมและธาตุเหล็กได้ เนื่องจากในผักโขมมีกรดออกซาลิก (Oxalic Acid) ที่สามารถไปยับยั้ง หรือขัดขวางการนำแคลเซียม และธาตุเหล็กไปใช้ในร่างกาย
7. กะหล่ำปลี
กะหล่ำปลีดิบมีสารพิษที่เรียกว่า กอยโตรเจน (Goitrogen) เป็นสารที่ไปขัดขวางไม่ให้ต่อมไทรอยด์จับไอโอดีน หากรับประทานกะหล่ำปลีดิบในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดโรคคอหอยพอก อีกทั้งยังทำให้ต่อมไทรอยด์ทำงานต่ำ ผู้ป่วยที่เป็นไทรอยด์ไม่ควรรับประทานกะหล่ำปลีดิบอย่างเด็ดขาด โดยสารกอยโตรเจน (Goitrogen) จะถูกทำลายได้ด้วยความร้อนจากการต้ม
8. บล็อคโคลี่
บล็อคโคลี่มีสารกอยโตรเจน (Goitrogen) ซึ่งสามารถยับยั้งไม่ให้ร่างกายใช้ไอโอดีนได้อย่างเต็มที่ อีกทั้งในบล็อคโคลี่ยังมีฮอร์โมนบางชนิดที่กระตุ้นทำให้เกิดโรคไทรอยด์ได้ และการรับประทานบล็อคโคลี่ดิบจะทำให้เกิดอาการท้องอืด
9. กะหล่ำดอก
กะหล่ำดอกมีน้ำตาลเดียวกับกะหล่ำปลี และบล็อคโคลี่ ที่ส่งผลกระทบต่อผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร ส่งผลทำให้เกิดอาการท้องอืด และรู้สึกแน่นท้อง
10. ถั่วฝักยาว
ถั่วฝักยาวดิบจะมียาสะสมอยู่ในปริมาณที่สูง ก่อนนำมารับประทานจึงควรล้างทำความสะอาดให้เรียบร้อย และในถั่วฝักยาวดิบมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างสูง ทำให้ท้องอืด ไม่เหมาะกับคนที่มีปัญหาการย่อย และผู้สูงอายุ
11. ถั่วงอก
ถั่วงอกดิบมีแบคทีเรียอันตรายหลายชนิด อีกทั้งในถั่วงอกดิบยังมีไฟเตทสูง โดยไฟเตทจะเข้าไปจับแร่ธาตุบางชนิดที่อยู่ในอาหาร ทำให้ร่างกายขาดแร่ธาตุได้ ดังนั้นจึงควรทำให้สุกก่อนรับประทานเพื่อป้องกันและทำลายแบคทีเรีย และสารไฟเตท
12. เห็ดชนิดต่าง ๆ
ในเห็ดจะมีผนังเซลล์ที่ย่อยยาก ซึ่งการนำมาปรุงให้สุกจะช่วยไปทำลายผนังเซลล์ที่ย่อยยากนั้นได้ บางคนที่รับประทานเห็ดดิบแล้วอาจจะมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน หรือท้องอืด และในเห็ดอาจมีสารพิษปนเปื้อนอยู่มาก จึงคารนำมาล้างให้สะอาด และปรุงสุกก่อนรับประทาน